หมวดที่ 1 - ชื่อเครื่องหมายและสำนักงานที่ตั้ง
หมวดที่ 2 - วัตถุประสงค์
หมวดที่ 3 - ทุนทรัพย์ ทรัพย์สิน และการได้มาซึ่งทรัพย์สิน
หมวดที่ 4 - คุณสมบัติ และการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ
หมวดที่ 5 - การดำเนินการของคณะกรรมการมูลนิธิ
หมวดที่ 6 - อำนาจหน้าที่คณะกรรมการมูลนิธิ
หมวดที่ 8 - การประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
หมวดที่ 9 - การเงิน
หมวดที่ 10 - การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของมูลนิธิ
หมวดที่ 11 - การเลิกมูลนิธิ
หมวดที่ 12 - บทเบ็ดเตล็ด
ข้อ 1. มูลนิธินี้ชื่อว่า มูลนิธิเพื่อการพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ย่อว่า ม.มจธ. เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า The Foundation for the Development of King Mongkut's University of Technology Thonburi ย่อว่า F.KMUTT
ข้อ 2. เครื่องหมายของมูลนิธินี้คือ ตราพระราชทานแด่มหาวิทยาลัย อยู่เหนือชื่อ มูลนิธิเพื่อการพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ประดิษฐ์ฐานอยู่ในวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 นิ้ว ส่วนนอกของวงกลมมีชื่อภาษาอังกฤษ The Foundation for the Development of King Mongkut's University of Technology Thonburi ล้อมวงกลมอีกวงหนึ่งขนาดของสัญลักษณ์นี้ จะนำไปย่อหรือขยายได้ตามความเหมาะสม
ข้อ 3. สำนักงานมูลนิธิตั้งอยู่ที่ เลขที่ 126 ถนนประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ จังหวัดกรุงเทพมหานคร รหัสไปรษณีย์ 10140
ข้อ 4. วัตถุประสงค์ของมูลนิธินี้ คือ
ข้อ 5. ทรัพย์สินของมูลนิธิมีทุนเริ่มแรก คือ
ข้อ 7. กรรมการของมูลนิธิต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
ข้อ 9. มูลนิธินี้ดำเนินการโดยคณะกรรมการมูลนิธิ มีจำนวนไม่น้อยกว่า 9 คน แต่ไม่เกิน 40 คน
ข้อ 10. คณะกรรมการของมูลนิธิ ประกอบด้วย ประธานกรรมการมูลนิธิ รองประธานกรรมการมูลนิธิ เลขานุการมูลนิธิ เหรัญญิก และกรรมการอื่น ๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควร ตามข้อบังคับข้อ 9
ข้อ 11. วิธีเลือกตั้งคณะกรรมการมูลนิธิให้ปฏิบัติดังนี้
ให้คณะกรรมการมูลนิธิชุดที่ดำรงตำแหน่งอยู่เลือกตั้งประธานกรรมการมูลนิธิ และกรรมการอื่น ๆตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับ
ข้อ 12. กรรมการดำเนินงานมูลนิธิอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี
ข้อ 13. การเลือกตั้งคณะกรรมการมูลนิธิให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเป็นมติที่ประชุม
ข้อ 14. กรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ อาจได้รับเลือกเข้าเป็นกรรมการมูลนิธิได้อีก
ข้อ 15. ในกรณีที่กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่ง ให้กรรมการของมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่ กรรมการของมูลนิธิต่อไป จนกว่ามูลนิธิจะได้รับแจ้งการจดทะเบียนกรรมการของมูลนิธิที่ตั้งใหม่
ข้อ 16. คณะกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินกิจการของมูลนิธิตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ และภายใต้ข้อบังคับนี้ให้มีอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
ข้อ 17. ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
ข้อ 19. ถ้าประธานกรรมการมูลนิธิและรองประธานกรรมการมูลนิธิไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการ ประชุมคราวหนึ่งคราวใดได้ ให้ที่ประชุมเลือกคณะกรรมการมูลนิธิคนใดคนหนึ่งเป็นประธาน สำหรับการประชุมคราวนั้น
ข้อ 20. เลขานุการมูลนิธิมีหน้าที่ควบคุมกิจการ และดำเนินการประชุมของมูลนิธิติดต่อประสาน งานทั่วไป รักษาระเบียบข้อบังคับของมูลนิธิ นัดประชุมกรรมการตามคำสั่งของประธานกรรมการมูลนิธิ และทำรายงานการประชุม ตลอดจนรายงานกิจการของมูลนิธิ
ข้อ 21. เหรัญญิกมีหน้าที่ควบคุมการเงิน ทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง และเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด
ข้อ 22. สำหรับกรรมการตำแหน่งอื่น ๆให้มีหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด โดยทำเป็นคำสั่ง ระบุอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน
ข้อ 23. คณะกรรมการมูลนิธิมีสิทธิเข้าร่วมประชุมกรรมการ หรืออนุกรรมการอื่นๆ
ข้อ 24. คณะกรรมการมูลนิธิอาจแต่งตั้งหรือถอดถอนอนุกรรมการได้ตามความเหมาะสม โดยจะแต่งตั้งให้เป็นอนุกรรมการประจำหรือเพื่อการใดเป็นพิเศษเฉพาะคราวก็ได้ และในกรณีที่คณะกรรมการมูลนิธิไม่ได้แต่งตั้งประธานอนุกรรมการ เลขานุการ หรืออนุกรรมการในตำแหน่งอื่นไว้ ก็ให้อนุกรรมการและคณะแต่งตั้งกันเองดำรงตำแหน่งดังกล่าวไว้
ข้อ 25. อนุกรรมการอยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะเสร็จงานที่รับรับมอบหมายให้กระทำส่วนคณะอนุกรรม การประจำอยู่ในตำแหน่งตามเวลาที่คณะกรรมการ มูลนิธิกำหนดซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ก็ให้อยู่ใน ตำแหน่งได้เพียงเท่าวาระของคณะกรรมการมูลนิธิซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งและอนุกรรมการที่พ้นจาก ตำแหน่งอาจ ได้รับการเลือกตั้งได้อีก
อนุกรรมการมีหน้าที่ดำเนินการตามที่คณะกรรมการมูลนิธิมอบหมาย
อนุกรรมการมีหน้าที่เสนอความคิดเห็นต่อคณะกรรมการมูลนิธิ เกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย
ข้อ 26. คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องจัดให้มีการประชุมสามัญประจำปีทุกปี ภายในเดือนพฤษภาคม และต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม
ข้อ 27. การประชุมวิสามัญอาจมีได้ในเมื่อประธานกรรมการมูลนิธิหรือเมื่อคณะกรรมการมูลนิธิตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปแสดงความประสงค์ไปยังประธานกรรมการมูลนิธิหรือผู้ทำการแทนขอให้มีการประชุมก็ให้เรียก ประชุมวิสามัญได้
ข้อ 28. กำหนดการประชุมและองค์ประชุมของคณะอนุกรรมการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการมูลนิธิ กำหนดไว้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประชุมให้คณะอนุกรรมการตกลงกันเองและในส่วนที่เกี่ยวกับ องค์ประชุมให้ใช้ ข้อ 26 บังคับโดยอนุโลม
ข้อ 29. ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรือคณะอนุกรรมการหากมิได้มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็น อย่างอื่น มติของที่ประชุมให้ถือเอาคะแนนเสียงข้างมาก ในกรณีที่คะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานใน ที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด กิจการใดที่เป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อยประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจ สั่งให้ใช้วิธีสอบถามมติที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิแต่ประธานกรรมการมูลนิธิต้องรายงานต่อ ที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ในคราวต่อไป ถึงมติและกิจการที่ได้ดำเนินการไปตามมตินั้น กิจการใดเป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อยหรือไม่ ย่อมอยู่ในดุลยพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 30. ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรือคณะอนุกรรมการ ประธานกรรมการมูลนิธิหรือประธานที่ประชุมมีอำนาจเชิญ หรืออนุญาตให้บุคคลที่เห็นสมควรเข้าร่วมประชุม ในฐานะแขกผู้มีเกียรติหรือผู้สังเกตการณ์ หรือเพื่อชี้แจง หรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่ที่ประชุมได้
ข้อ 31. ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือรองประธานกรรมการมูลนิธิในกรณีทำหน้าที่แทน มีอำนาจสั่งจ่าย เงินได้คราวละไม่เกิน 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่าจำนวนดังกล่าว ต้องได้รับอนุมัติจาก กรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมาก เว้นแต้กรณีจำเป็นและเร่งด่วนให้อยู่ในดุลยพินิจของประธานกรรมการ มูลนิธิที่จะอนุมัติให้จ่ายได้ แล้วต้องรายงานให้คณะกรรมการมูลนิธิทราบในการประชุมคราวต่อไป
ข้อ 32. เหรัญญิกมีอำนาจเก็บรักษาเงินสดได้ครั้งละไม่เกิน 1,000 บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) ยกเว้นเงิน ที่รับบริจาค เมื่อกำหนเวลาทำการของหน่วยรับฝากเงินตามข้อ 33 ให้นำส่งในวันรุ่งขึ้นที่เปิดทำการ
ข้อ 33. เงินสดของมูลนิธิหรือเอกสารสิทธิ ต้องนำฝากไว้กับธนาคารหรือสหกรณ์ออมทรัพย์ของ มหาวิทยาลัย หรือสถาบันการเงินอื่นใด แล้วแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร
ข้อ 34. การสั่งจ่ายเงินโดยเช็คหรือตั๋วสั่งจ่ายเงิน จะต้องมีลายมือชื่อของประธานกรรมการมูลนิธิ หรือผู้ทำการแทน กับเลขานุการหรือเหรัญญิกลงนามทุกครั้ง จึงจะเบิกจ่ายได้
ข้อ 35. การใช้จ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ รวมทั้งค่าใช้จ่ายประจำสำนักงาน ให้จ่ายเพียงดอกและผล อันเกิดจากทรัพย์สินที่เป็นทุน เงินที่ผู้บริจาคมิได้แสดงเจตนาให้เป็นเงินสมทบทุนโดยเฉพาะ และรายได้ อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิ
ข้อ 36. ให้คณะกรรมการมูลนิธิวางระเบียบเกี่ยวกับการเงิน การบัญชีและทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนกำหนดอำนาจหน้าที่ต่าง ๆเกี่ยวกับการรับและจ่ายเงินนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
ข้อ 37. ให้คณะกรรมการมูลนิธิกำหนดรอบระยะเวลาบัญชี และจัดทำรายงานสถานะการเงินของมูลนิธิ ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ผ่านมาเสนอต่อที่ประชุมในการประชุมสามัญประจำปี
ข้อ 38. การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับจะกระทำได้ โดยเฉพาะที่ประชุมคณะ กรรมการมูลนิธิซึ่งต้องมี กรรมการมูลนิธิเข้าประชุมไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมดและการอนุมัติให้แก้ไขหรือ เพิ่มเติมข้อบังคับต้องประกอบด้วย คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการที่เข้าประชุม
ข้อ 39. ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปโดยมติของคณะกรรมการ หรือโดยเหตุผลใดก็ตาม ทรัพย์สินทั้งหมดของ มูลนิธิที่เหลืออยู่ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ข้อ 40. การสิ้นสุดของมูลนิธินั้น นอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลงโดย มิต้องให้ศาลสั่งเลิกด้วยเหตุผลต่อไปนี้
ข้อ 41. การตีความในข้อบังคับของมูลนิธิหากที่เป็นที่สงสัยให้คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากของ จำนวนกรรมการที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 42. ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมูลนิธิ มาใช้บังคับในเมื่อข้อบังคับ ของมูลนิธิได้กำหนดไว้
ข้อ 43. มูลนิธิต้องไม่ดำเนินการหาประโยชน์มาแบ่งปันกัน หรือเพื่อบุคคลใด นอกจากเพื่อดำเนินการ ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง
หมายเหตุ สำเนาข้อบังคับฉบับนี้ได้จดทะเบียนแล้ว เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2541
หมวดที่ 2 - วัตถุประสงค์
หมวดที่ 3 - ทุนทรัพย์ ทรัพย์สิน และการได้มาซึ่งทรัพย์สิน
หมวดที่ 4 - คุณสมบัติ และการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ
หมวดที่ 5 - การดำเนินการของคณะกรรมการมูลนิธิ
หมวดที่ 6 - อำนาจหน้าที่คณะกรรมการมูลนิธิ
หมวดที่ 8 - การประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
หมวดที่ 9 - การเงิน
หมวดที่ 10 - การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของมูลนิธิ
หมวดที่ 11 - การเลิกมูลนิธิ
หมวดที่ 12 - บทเบ็ดเตล็ด
ข้อ 1. มูลนิธินี้ชื่อว่า มูลนิธิเพื่อการพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ย่อว่า ม.มจธ. เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า The Foundation for the Development of King Mongkut's University of Technology Thonburi ย่อว่า F.KMUTT
ข้อ 2. เครื่องหมายของมูลนิธินี้คือ ตราพระราชทานแด่มหาวิทยาลัย อยู่เหนือชื่อ มูลนิธิเพื่อการพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ประดิษฐ์ฐานอยู่ในวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 นิ้ว ส่วนนอกของวงกลมมีชื่อภาษาอังกฤษ The Foundation for the Development of King Mongkut's University of Technology Thonburi ล้อมวงกลมอีกวงหนึ่งขนาดของสัญลักษณ์นี้ จะนำไปย่อหรือขยายได้ตามความเหมาะสม
ข้อ 3. สำนักงานมูลนิธิตั้งอยู่ที่ เลขที่ 126 ถนนประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ จังหวัดกรุงเทพมหานคร รหัสไปรษณีย์ 10140
ข้อ 4. วัตถุประสงค์ของมูลนิธินี้ คือ
- เพื่อพัฒนาส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี ให้เกิดความก้าวหน้าและมีประสิทธิภาพสูง ทั้งด้านวิชาการและด้านอื่น ๆ
- ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยเพื่อประโยชน์แก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และประเทศชาติ
- ให้ทุนการศึกษา ฝึกอบรม สัมมนา ดูงาน และเสนอผลงานทางวิชาการ
- เผยแพร่ผลงานทางวิชาการเพื่อประโยชน์แก่สาธารณชน
- เพื่อดำเนินการ หรือร่วมมือกับองค์การการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์
- ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด
ข้อ 5. ทรัพย์สินของมูลนิธิมีทุนเริ่มแรก คือ
- เงินสด จำนวน 404,778.07 บาท (สี่แสนสี่พันเจ็ดร้อยเจ็ดสิบแปดบาทเจ็ดสตางค์)
- โฉนดที่ดินเลขที่ ...............................................................................
- เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้ยกให้โดยพินัยกรรมหรือนิติกรรมอื่น ๆโดยมิได้มีเงื่อนไขผูกพันมูลนิธิต้องรับผิดชอบในหนี้สินหรือภาระติดพันอื่นใด
- เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคให้
- ดอกผลซึ่งเกิดจากทรัพย์สินของมูลนิธิ
- รายได้อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิฯ
ข้อ 7. กรรมการของมูลนิธิต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
- มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
- ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หรือไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ
- ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ
- ถึงคราวออกตามวาระ
- ตายหรือลาออก
- ขาดคุณสมบัติตามตราสารข้อ 7
- เป็นผู้มีความประพฤติและปฏิบัติตนเป็นที่เสื่อมเสียและคณะกรรมการมูลนิธิมีมติให้ออก โดยมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของคณะกรรมการมูลนิธิฯ
ข้อ 9. มูลนิธินี้ดำเนินการโดยคณะกรรมการมูลนิธิ มีจำนวนไม่น้อยกว่า 9 คน แต่ไม่เกิน 40 คน
ข้อ 10. คณะกรรมการของมูลนิธิ ประกอบด้วย ประธานกรรมการมูลนิธิ รองประธานกรรมการมูลนิธิ เลขานุการมูลนิธิ เหรัญญิก และกรรมการอื่น ๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควร ตามข้อบังคับข้อ 9
ข้อ 11. วิธีเลือกตั้งคณะกรรมการมูลนิธิให้ปฏิบัติดังนี้
ให้คณะกรรมการมูลนิธิชุดที่ดำรงตำแหน่งอยู่เลือกตั้งประธานกรรมการมูลนิธิ และกรรมการอื่น ๆตามจำนวนที่เห็นสมควรตามข้อบังคับ
ข้อ 12. กรรมการดำเนินงานมูลนิธิอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี
ข้อ 13. การเลือกตั้งคณะกรรมการมูลนิธิให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเป็นมติที่ประชุม
ข้อ 14. กรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ อาจได้รับเลือกเข้าเป็นกรรมการมูลนิธิได้อีก
ข้อ 15. ในกรณีที่กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่ง ให้กรรมการของมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่ กรรมการของมูลนิธิต่อไป จนกว่ามูลนิธิจะได้รับแจ้งการจดทะเบียนกรรมการของมูลนิธิที่ตั้งใหม่
ข้อ 16. คณะกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินกิจการของมูลนิธิตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ และภายใต้ข้อบังคับนี้ให้มีอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- กำหนดนโยบายของมูลนิธิ และดำเนินงานตามนโยบายนั้น
- ควบคุมการเงินและทรัพย์สินต่าง ๆของมูลนิธิ
- เสนอรายงานกิจการ รายงานการเงิน และบัญชีรายได้- รายจ่าย ต่อนายทะเบียน
- ดำเนินการให้เป็นไปตามที่มติที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ และวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ
- ตราระเบียบเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของมูลนิธิ
- แต่งตั้งหรือถอดถอนคณะอนุกรรมการขึ้นคณะหนึ่งหรือหลายคณะ เพื่อดำเนินการเฉพาะอย่างของมูลนิธิ ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการมูลนิธิ
- เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ หรือบุคคลที่ทำประโยชน์ให้มูลนิธิเป็นพิเศษ เป็นกรรมการกิตติมศักดิ์
- เชิญผู้ทรงเกียติเป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธิ
- เชิญผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิ
- แต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าหน้าที่ประจำของมูลนิธิ
ข้อ 17. ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
- เป็นประธานของการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
- สั่งเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
- เป็นผู้แทนของมูลนิธิในการติดต่อกับบุคคลภายนอก หรือการลงลายมือชื่อในเอกสารข้อบังคับและสรรพหนังสือ อันเป็นหลักฐานของมูลนิธิ เมื่อประธานกรรมการมูลนิธิ หรือกรรมการมูลนิธิผู้ได้รับมอบหมายให้ทำการแทน ได้ลงลายมือชื่อแล้วจึงเป็นอันใช้ได้
- ปฏิบัติการอื่น ๆ ตามข้อบังคับ และมติของคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 19. ถ้าประธานกรรมการมูลนิธิและรองประธานกรรมการมูลนิธิไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการ ประชุมคราวหนึ่งคราวใดได้ ให้ที่ประชุมเลือกคณะกรรมการมูลนิธิคนใดคนหนึ่งเป็นประธาน สำหรับการประชุมคราวนั้น
ข้อ 20. เลขานุการมูลนิธิมีหน้าที่ควบคุมกิจการ และดำเนินการประชุมของมูลนิธิติดต่อประสาน งานทั่วไป รักษาระเบียบข้อบังคับของมูลนิธิ นัดประชุมกรรมการตามคำสั่งของประธานกรรมการมูลนิธิ และทำรายงานการประชุม ตลอดจนรายงานกิจการของมูลนิธิ
ข้อ 21. เหรัญญิกมีหน้าที่ควบคุมการเงิน ทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง และเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด
ข้อ 22. สำหรับกรรมการตำแหน่งอื่น ๆให้มีหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด โดยทำเป็นคำสั่ง ระบุอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน
ข้อ 23. คณะกรรมการมูลนิธิมีสิทธิเข้าร่วมประชุมกรรมการ หรืออนุกรรมการอื่นๆ
ข้อ 24. คณะกรรมการมูลนิธิอาจแต่งตั้งหรือถอดถอนอนุกรรมการได้ตามความเหมาะสม โดยจะแต่งตั้งให้เป็นอนุกรรมการประจำหรือเพื่อการใดเป็นพิเศษเฉพาะคราวก็ได้ และในกรณีที่คณะกรรมการมูลนิธิไม่ได้แต่งตั้งประธานอนุกรรมการ เลขานุการ หรืออนุกรรมการในตำแหน่งอื่นไว้ ก็ให้อนุกรรมการและคณะแต่งตั้งกันเองดำรงตำแหน่งดังกล่าวไว้
ข้อ 25. อนุกรรมการอยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะเสร็จงานที่รับรับมอบหมายให้กระทำส่วนคณะอนุกรรม การประจำอยู่ในตำแหน่งตามเวลาที่คณะกรรมการ มูลนิธิกำหนดซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ก็ให้อยู่ใน ตำแหน่งได้เพียงเท่าวาระของคณะกรรมการมูลนิธิซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งและอนุกรรมการที่พ้นจาก ตำแหน่งอาจ ได้รับการเลือกตั้งได้อีก
อนุกรรมการมีหน้าที่ดำเนินการตามที่คณะกรรมการมูลนิธิมอบหมาย
อนุกรรมการมีหน้าที่เสนอความคิดเห็นต่อคณะกรรมการมูลนิธิ เกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย
ข้อ 26. คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องจัดให้มีการประชุมสามัญประจำปีทุกปี ภายในเดือนพฤษภาคม และต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม
ข้อ 27. การประชุมวิสามัญอาจมีได้ในเมื่อประธานกรรมการมูลนิธิหรือเมื่อคณะกรรมการมูลนิธิตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปแสดงความประสงค์ไปยังประธานกรรมการมูลนิธิหรือผู้ทำการแทนขอให้มีการประชุมก็ให้เรียก ประชุมวิสามัญได้
ข้อ 28. กำหนดการประชุมและองค์ประชุมของคณะอนุกรรมการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการมูลนิธิ กำหนดไว้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประชุมให้คณะอนุกรรมการตกลงกันเองและในส่วนที่เกี่ยวกับ องค์ประชุมให้ใช้ ข้อ 26 บังคับโดยอนุโลม
ข้อ 29. ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรือคณะอนุกรรมการหากมิได้มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็น อย่างอื่น มติของที่ประชุมให้ถือเอาคะแนนเสียงข้างมาก ในกรณีที่คะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานใน ที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด กิจการใดที่เป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อยประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจ สั่งให้ใช้วิธีสอบถามมติที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิแต่ประธานกรรมการมูลนิธิต้องรายงานต่อ ที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ในคราวต่อไป ถึงมติและกิจการที่ได้ดำเนินการไปตามมตินั้น กิจการใดเป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อยหรือไม่ ย่อมอยู่ในดุลยพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 30. ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรือคณะอนุกรรมการ ประธานกรรมการมูลนิธิหรือประธานที่ประชุมมีอำนาจเชิญ หรืออนุญาตให้บุคคลที่เห็นสมควรเข้าร่วมประชุม ในฐานะแขกผู้มีเกียรติหรือผู้สังเกตการณ์ หรือเพื่อชี้แจง หรือเพื่อให้คำปรึกษาแก่ที่ประชุมได้
ข้อ 31. ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือรองประธานกรรมการมูลนิธิในกรณีทำหน้าที่แทน มีอำนาจสั่งจ่าย เงินได้คราวละไม่เกิน 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่าจำนวนดังกล่าว ต้องได้รับอนุมัติจาก กรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมาก เว้นแต้กรณีจำเป็นและเร่งด่วนให้อยู่ในดุลยพินิจของประธานกรรมการ มูลนิธิที่จะอนุมัติให้จ่ายได้ แล้วต้องรายงานให้คณะกรรมการมูลนิธิทราบในการประชุมคราวต่อไป
ข้อ 32. เหรัญญิกมีอำนาจเก็บรักษาเงินสดได้ครั้งละไม่เกิน 1,000 บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) ยกเว้นเงิน ที่รับบริจาค เมื่อกำหนเวลาทำการของหน่วยรับฝากเงินตามข้อ 33 ให้นำส่งในวันรุ่งขึ้นที่เปิดทำการ
ข้อ 33. เงินสดของมูลนิธิหรือเอกสารสิทธิ ต้องนำฝากไว้กับธนาคารหรือสหกรณ์ออมทรัพย์ของ มหาวิทยาลัย หรือสถาบันการเงินอื่นใด แล้วแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร
ข้อ 34. การสั่งจ่ายเงินโดยเช็คหรือตั๋วสั่งจ่ายเงิน จะต้องมีลายมือชื่อของประธานกรรมการมูลนิธิ หรือผู้ทำการแทน กับเลขานุการหรือเหรัญญิกลงนามทุกครั้ง จึงจะเบิกจ่ายได้
ข้อ 35. การใช้จ่ายเงินตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ รวมทั้งค่าใช้จ่ายประจำสำนักงาน ให้จ่ายเพียงดอกและผล อันเกิดจากทรัพย์สินที่เป็นทุน เงินที่ผู้บริจาคมิได้แสดงเจตนาให้เป็นเงินสมทบทุนโดยเฉพาะ และรายได้ อันเกิดจากการจัดกิจกรรมของมูลนิธิ
ข้อ 36. ให้คณะกรรมการมูลนิธิวางระเบียบเกี่ยวกับการเงิน การบัญชีและทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนกำหนดอำนาจหน้าที่ต่าง ๆเกี่ยวกับการรับและจ่ายเงินนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
ข้อ 37. ให้คณะกรรมการมูลนิธิกำหนดรอบระยะเวลาบัญชี และจัดทำรายงานสถานะการเงินของมูลนิธิ ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ผ่านมาเสนอต่อที่ประชุมในการประชุมสามัญประจำปี
ข้อ 38. การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับจะกระทำได้ โดยเฉพาะที่ประชุมคณะ กรรมการมูลนิธิซึ่งต้องมี กรรมการมูลนิธิเข้าประชุมไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมดและการอนุมัติให้แก้ไขหรือ เพิ่มเติมข้อบังคับต้องประกอบด้วย คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการที่เข้าประชุม
ข้อ 39. ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปโดยมติของคณะกรรมการ หรือโดยเหตุผลใดก็ตาม ทรัพย์สินทั้งหมดของ มูลนิธิที่เหลืออยู่ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ข้อ 40. การสิ้นสุดของมูลนิธินั้น นอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้ว ให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลงโดย มิต้องให้ศาลสั่งเลิกด้วยเหตุผลต่อไปนี้
- เมื่อมูลนิธิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้วไม่ได้รับทรัพย์สินตามคำมั่นเต็มจำนวน
- เมื่อกรรมการมูลนิธิจำนวนสองในสามมีมติให้ยกเลิก
- เมื่อมูลนิธิไม่อาจหากรรมการได้ครบตามจำนวนกรรมการที่กำหนดไว้ในข้อบังคับของมูลนิธิ
- เมื่อมูลนิธิไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ
ข้อ 41. การตีความในข้อบังคับของมูลนิธิหากที่เป็นที่สงสัยให้คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากของ จำนวนกรรมการที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 42. ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมูลนิธิ มาใช้บังคับในเมื่อข้อบังคับ ของมูลนิธิได้กำหนดไว้
ข้อ 43. มูลนิธิต้องไม่ดำเนินการหาประโยชน์มาแบ่งปันกัน หรือเพื่อบุคคลใด นอกจากเพื่อดำเนินการ ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง
ลงนาม.............................................. ผู้จัดทำข้อบังคับ
(นางเอมอร ศรีนิลทา)
ตำแหน่ง กรรมการและเลขานุการมูลนิธิ
(นางเอมอร ศรีนิลทา)
ตำแหน่ง กรรมการและเลขานุการมูลนิธิ
หมายเหตุ สำเนาข้อบังคับฉบับนี้ได้จดทะเบียนแล้ว เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2541
ลงนาม............................................ เจ้าหน้าที่
(นางปรีดา กนกพงศ์ศักดิ์)
ตำแหน่ง เจ้าพนักงานธุรการ 4 ส่วนการทะเบียนทั่วไป
สำนักบริหารการทะเบียน
(นางปรีดา กนกพงศ์ศักดิ์)
ตำแหน่ง เจ้าพนักงานธุรการ 4 ส่วนการทะเบียนทั่วไป
สำนักบริหารการทะเบียน